ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

พระในใจ

๓o พ.ย. ๒๕๕๗

ะ คนเจอแบบนี้กันทั้งนั้นน่ะ

ถาม : กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพ ผมขออนุญาตขอคำแนะนำจากหลวงพ่อให้ไอ้คนโง่คนนี้ทีครับ คือเรื่องมันติดพันกับหลายคน หลายเรื่อง จนหาทางออกที่ดีที่สุดให้กับตนเองไม่ได้แล้ว

เล่าย่อๆ ก็คือผมมีคุณพ่อคุณแม่ที่อายุมากๆ แล้ว และคุณแม่ก็ป่วยเดินไม่สะดวก ช่วยตัวเองบางอย่างไม่ได้ แล้วตอนนี้ที่บ้านก็ติดจำนองธนาคาร รวมทั้งทรัพย์สินที่ดินอื่นๆ ด้วยทั้งหมด เขาจะเอาไปเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

ความจริงผมอยากจะบวชตลอดชีวิต แต่ติดที่ใจเป็นห่วงอยู่บ้างบางครั้ง บางครั้งคิดว่าทิ้งทุกอย่างมาเลย อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ไม่เห็นเป็นอะไร ก็แค่ชาตินี้ เดี๋ยวก็ผ่านไป

แต่ก่อนนี้ผมไปทำบุญบ่อยๆ บางครั้งก็ไปอยู่วัดบ้าง พ่อเคยพูดว่ารู้จักไหม พระในบ้าน รู้จักไหมญาติพี่น้องบางคนก็พูด แต่บางครั้งเวลาเราโมโห เราก็ได้แต่คิดว่า ช่างแม่มัน กูจะหนีไปเลยไกลๆตอนนี้ก็ยังทำไม่ได้หรอก ตอนนี้ก็คิดว่าต้องหางานก่อนดีไหม เพื่อช่วยภาระที่บ้านได้ หากเขามายึดไปจริงๆ แต่ก็เสียดายที่ต้องห่างวัด ห่างครูบาอาจารย์ไป ไม่รู้ชาติหน้าจะเกิดมาโชคดีแบบนี้อีกไหม

เพื่อนๆ กัลยาณมิตรก็เสียดายแทน และไม่อยากให้เราไปอยู่ทางโลก เกิดมาชาติหนึ่งเจอโอกาสดีๆ แบบนี้ เจอพระพุทธศาสนา เจอพระแท้ หาได้น้อยนัก อยากสร้างบุญบารมี ไม่อยากเป็นโมฆบุรุษ ไม่ได้อยากรวย ไม่ได้อยากเป็นที่สังคมยกหน้าถือตา ไม่ได้อยากให้อยู่ทางโลกเลย แต่ตอนนี้สถานการณ์เหมือนกลืนไม่เข้า คายไม่ออก หาทางออกไม่ได้จริงๆ กราบรบกวนหลวงพ่อให้คำแนะนำด้วยครับ

ตอบ : ให้คำแนะนำก็หางานทำ หางานทำเลย ไปหางานทำก่อน เพราะถ้าไปหางานทำ เราหางานทำให้มันเป็นของซึ่งๆ หน้า ของซึ่งๆ หน้า เหตุการณ์ปัจจุบัน เหตุการณ์เฉพาะหน้า เราต้องจัดการเหตุการณ์เฉพาะหน้าให้จบ

หางานทำ หางานทำซะ เราไปหางานทำก่อน ทำแล้วถ้าเรามีสติมีปัญญา เรามีสติระลึกรู้อยู่ ถ้าเหตุการณ์นี้เราได้ช่วยพ่อช่วยแม่ ช่วยทุกๆ อย่างแล้ว แล้วถึงเวลานั้นเราจะมาบวชมันไม่สาย ถ้าถึงตอนนั้นจะมาบวชไง ถ้าจิตใจเรามั่นคงจริงนะ ถ้าจิตใจเรามั่นคงจริง

เราช่วยพ่อแม่ไง เพราะชีวิตนี้ได้มา ได้มาจากพ่อจากแม่ พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก ที่เขาพูดน่ะถูก แต่ถ้าเราคิดว่าจะเอาแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทิ้งไป สละไป ทิ้งไปเหมือนกัน พ่อนี่ โอ้โฮ! เจ็บช้ำนะ เวลาเสียองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแล้วก็คิดว่าเสียลูกไปแล้ว ก็อยากได้หลานไว้เป็นกษัตริย์

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปประพฤติปฏิบัตินะ ถึง ๖ ปี ได้เป็นพระอรหันต์แล้ว ส่งคนไปนิมนต์นะ ส่งไปกี่คนก็หายหมดเลย พระเจ้าสุทโธทนะส่งคนไปนิมนต์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอาบวชหมด ส่งไปถึง ๑๐ กว่าคณะแน่ะ

สุดท้ายจะส่ง จำชื่อไม่ได้ ส่งไปอีกคนหนึ่ง ท่านสัญญากันไว้เลยนะอย่างไรๆ ก็ต้องนิมนต์มาให้ได้นะ อย่างไรๆ ก็ต้องนิมนต์มานะพอไปถึงก็บวชเหมือนกัน พระพุทธเจ้าเทศน์จนบวชเหมือนกัน บวชแล้ว ภาวนาแล้ว จนได้เป็นพระอรหันต์ แล้วก็มาคิดได้ไงว่าได้สัญญากับพระเจ้าสุทโธทนะไว้ ก็มาอาราธนาแล้ว อาราธนาแล้ว คือว่าถึงบวชแล้วก็ไม่ทิ้งหน้าที่ ก็ยังอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับไปโปรดบิดา

เวลาไปโปรดแล้ว ก็ด้วยวิสาสะ การแก้พ่อแก้แม่นี่แสนยาก แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เวลาพ่อนิมนต์ไปแล้วนะ นิมนต์ก็ถือสิทธิ์ ก็นิมนต์มาแล้ว ก็ลูกเรา ก็คิดจะทำอะไรตามแต่ของเรา ทั้งๆ ที่มันก็รักก็เคารพอยู่นะ

สุดท้ายแล้วเวลาเทศนาว่าการแล้ว เช้า พระพุทธเจ้าออกบิณฑบาตไง พอพระพุทธเจ้าออกบิณฑบาต พระเจ้าสุทโธทนะเสียใจมาก ไปยืนขวางองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย บอก ลูก ทำไมลูกทำลายหน้าพ่อขนาดนี้ ทำไมลูกฉีกหน้าขนาดนี้ มาเป็นขอทานในเมืองได้อย่างไร ก็ตัวเองเป็นกษัตริย์ แล้วเป็นกษัตริย์ไปขอข้าวประชาชนกินมันเสียศักดิ์ศรีมาก

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็บอกว่าพระพุทธเจ้าทุกๆ องค์ก็ทำแบบนี้

เวลาทางโลกไง ศักดิ์ศรีของทางโลก เขาว่าเขามีศักดิ์มีศรี ต้องมีคนนับหน้าถือตา แต่ศักดิ์ศรีของธรรมะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา ปรารถนารื้อสัตว์ขนสัตว์ นี่คือการโปรดสัตว์ โปรดสัตว์คือให้สัตว์ได้เห็น ให้ได้เห็นกิริยาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เห็นสมณะ การได้เห็นสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่ง พอเขาได้เห็นแล้วเขาเกิดศรัทธา เขาเกิดความเชื่อ เขาทำบุญกุศลของเขา เขาก็ได้บุญกุศลของเขา

อ้าว! แล้วพ่อล่ะ

อ้าว! ก็พ่อไม่นิมนต์ไว้ไง ถ้าพ่อนิมนต์ไว้ ถ้ากิจนิมนต์ พ่อไม่นิมนต์ไว้ก็ไม่บิณฑบาตไง ก็พ่อไม่นิมนต์ต่างหาก

นี่เขาถือสิทธิ์ของเขา เวลาโปรดพ่อโปรดแม่นี้แสนยาก แต่พ่อแม่จะสูงส่งขนาดไหน พ่อแม่จะปานกลาง พ่อแม่จะด้อยค่าขนาดไหนทางสังคมนะ แต่ก็คือพ่อแม่ของเรา พ่อแม่ของเราก็คือพ่อแม่ของเรา พ่อแม่มีคนเดียว พ่อแม่ก็คือพ่อแม่ ไม่มีสิทธิคัดค้านใดๆ ได้เลย แล้วทำไมองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทิ้งไปล่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทิ้งไปเพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดานะ อำนาจวาสนาบารมี แล้วเวลาเสร็จแล้วก็กลับมาโปรดไง กลับมาโปรดพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระอรหันต์เหมือนกัน ไปโปรดพุทธมารดาก็ได้เป็นเหมือนกัน นางพิมพาเป็นมเหสีก็ได้เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน สามเณรราหุลก็ได้เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน

ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เสียสละแม้แต่องค์เดียว ก็จะไม่มีใครได้อะไรเลย แต่เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสละองค์เดียว เสียสละออกไป เวลาไปออกบวชมันสะเทือนใจ คนมีกิเลส คนออกบวชมันยังไม่ได้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันสะเทือนใจทั้งนั้นน่ะ แต่ด้วยอำนาจวาสนาบารมี เสียสละออกไป พอเสียสละออกไป ไปค้นคว้าอยู่ ๖ ปี ทุกข์ยากขนาดไหน

พอประพฤติปฏิบัติจนสำเร็จเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เทศนาว่าการ รื้อสัตว์ขนสัตว์ โปรดสัตว์ พระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ทั้งนั้นน่ะ กษัตริย์แคว้นใหญ่ๆ ทั้งนั้น ลูกศิษย์ทั้งนั้นน่ะ มีแต่คนนับหน้าถือตาทั้งนั้นน่ะ มีคุณธรรม ที่ไหนมีแต่คนเชื่อถือทั้งนั้นน่ะ ถึงส่งอำมาตย์ไปนิมนต์ไง นิมนต์กลับมา

นี่พูดถึงเวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทิ้งพ่อทิ้งแม่ไป ทิ้งพ่อทิ้งแม่เพราะว่าอำนาจวาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทิ้งไปแล้วด้วยความจริงของเรา

ฉะนั้น เราเป็นสาวก สาวกะ เราเป็นบริษัท ๔ เราได้ยินได้ฟัง เราก็อยากจะทิ้งพ่อทิ้งแม่เราไปเหมือนกัน เราก็ทิ้งไปเลย ทิ้งได้ เวลาทิ้งไปแล้วนะ ไปนั่งภาวนานะ พอนั่งภาวนาก็อืม! พ่อเราจะอยู่อย่างไรหนอ แม่เราจะอยู่อย่างไรหนอ ป่านนี้บ้านมันโดนยึดไปหรือยังหนอมันเป็นความกังวลน่ะ

จริงๆ ใจเราแข็งจริงหรือเปล่า ใจเราเข้มแข็งพอไหม ถ้าใจเราเข้มแข็งพอ ถ้ามันไปได้มันไปแล้ว ถ้าใจเรายังไม่เข้มแข็งพอ เวลาไปแล้ว ถ้าข้างหน้าก็ไม่ได้ ข้างหลังก็ไม่ได้ มันยิ่งเป็นปัญหาใหญ่เลย ข้างหน้ายังไม่ได้ แล้วปัจจุบันข้างหลัง ปัจจุบันข้างหลังเรายังไม่ทิ้ง เรารักษาตรงนี้ ถ้ารักษาตรงนี้ได้ มันเป็นประโยชน์ตรงนี้นะ เอาปัจจุบัน

เขาบอกว่าพระในบ้าน ดูสิ เห็นพ่อเห็นแม่ไหม เวลาไปทำบุญที่วัด ไม่รู้จักพระในบ้านหรือ ไม่รู้จักพระในบ้านหรือ

รู้จัก พระในบ้าน เพราะคนจะไปวัดไปวามันต้องศึกษาธรรมะ ธรรมะ ศีล สมาธิ ปัญญา สอนให้คนเป็นคนดี ถ้าคนจะเป็นคนดีได้ คนต้องมีสามัญสำนึกความเป็นคน ถ้ามีสำนึกความเป็นคน คนนี้ได้มาจากใคร คนนี้ได้มาจากพ่อจากแม่ ถ้าได้มาจากพ่อจากแม่ คนดีเขาต้องกตัญญูกตเวที ถ้าเรามีเครื่องหมายของคนดี เรากตัญญูกตเวทีกับพ่อกับแม่ เราก็เข้าใจได้ว่าพระในบ้าน นี่พระในบ้าน แล้วพระในใจล่ะ

ถ้าพระในใจของเรา ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต เรากำหนดพุทโธๆๆ เรามาประพฤติปฏิบัติกัน เราหาพระในใจของเรา ถ้าเราหาพระในใจของเราได้นะ เราจะเข้มแข็งของเราขึ้นมา ถ้าเราเข้มแข็งขึ้นมา เราจะเป็นพระอริยบุคคล

ดูสิ เขาต้องการเห็นสมณะ ถ้าเห็นสมณะ เห็นสมณะเป็นมงคลชีวิต เป็นมงคลอย่างยิ่ง เห็นแล้วมันมีศรัทธามีความเชื่อ พระสารีบุตรเห็นพระอัสสชิเข้าไป ตามไปฟังธรรมพระอัสสชิถึงได้เป็นพระโสดาบันขึ้นมา ได้เห็นสมณะ สมณะ การเคลื่อนไหวของผู้มีสติ การเคลื่อนไหวของผู้ที่มีสติปัญญา มันทำให้ศรัทธามันมั่นคง ทำให้มันเจริญงอกงาม จะตามไปขอฟังธรรมๆ

พอฟังธรรมขึ้นมาแล้ว ถ้ามีสติปัญญาแทงทะลุ แทงทะลุด้วยสติปัญญา เห็นไหม เขาเรียกว่าวิปัสสนาญาณ เราทำวิปัสสนาๆ วิปัสสนาคือปัญญาแก่กล้า ปัญญาญาณอันนี้มันชำระล้างกิเลส

ฟังธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเชื้อ เป็นผู้ชี้นำ เป็นหัวเชื้อ แล้วเราใช้ปัญญาของเราแทงทะลุไป เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงธรรม พระอัญญาโกณฑัญญะมีดวงตาเห็นธรรม สิ่งที่ว่าแสดงธรรม แสดงธรรมรื้อสัตว์ขนสัตว์ ถ้ามีสติมีปัญญา วิปัสสนาญาณขึ้นมามันถึงจะเป็นไป

ฉะนั้น เรากำหนดพุทโธๆ เราหาพระในใจ ถ้าเราหาพระในใจ เราก็ต้องแสวงหาพระในใจ แต่พระในใจมันต้องมีสภาวะแวดล้อม พระในใจมันต้องมีหลักมีเกณฑ์ พระในใจมันต้องมีการเกื้อหนุน ถ้ามันมีการเกื้อหนุน เห็นไหม

ใช่ มันพูด เวลาเด็กพูดกัน ผู้ใหญ่ฟังนะ สอนนะนักเรียนห้ามสูบบุหรี่นะแต่เวลาครูก็ยังสูบ แอบสูบ สูบอยู่ข้างหลัง แล้วนักเรียนมันก็บอกอ้าว! ไหนบอกห้ามสูบแล้วยังสูบอยู่ล่ะ

เด็กก็ต้องสอนอย่างนั้น บอกเด็กห้ามสูบบุหรี่นะ มันทำลายสุขภาพ มันทำให้มีเชื้อโรค แล้วครูสูบทำไมล่ะ อ้าว! ครูสูบก็ครูเป็นโรคไง เป็นไซนัส ครูก็ดูดบุหรี่ นี่มันมีข้ออ้างไปหมดแหละ ถ้าใครมันจะหาทางออกมันจะบิดเบี้ยวนะ มันอ้างได้ทั้งนั้นน่ะ ทีนี้ถ้าจิตใจมันเข้มแข็ง จิตใจมันเป็นไปได้ มันก็เป็นไปได้ ถ้าจิตใจมันไม่เข้มแข็ง เห็นไหม

พระในบ้าน พระในบ้าน สิ่งที่ว่าเราเป็นชาวพุทธ เรามีสติปัญญา เราต้องมีสำนึกของความเป็นคน ถ้าความเป็นคน ก็มีพ่อมีแม่ ถ้ามีพ่อมีแม่นะ แล้วพ่อแม่เราทุกข์เรายาก เราจะช่วยเหลือเจือจาน อันนี้มันก็เป็นบุญอันหนึ่ง แล้วถ้ามันทำเสร็จแล้วนะ มันทำแล้ว เราทำเสร็จแล้ว เพราะในสมัยพุทธกาล ในพระไตรปิฎกมีมาก มีหลายกรณีมาก มีกรณีหนึ่งลูกเศรษฐี ลูกเศรษฐีนะ อยากบวชมาก มีลูกชายคนเดียว

มีหลายกรณี กรณีของพระรัฐปาลก็หนึ่ง กรณีของพระหลายองค์มาก เวลาบวชไปแล้ว ที่บ้านพอเฒ่าพอแก่ คนใช้มันโกงหมดเลย โกงหมดเลย ข่าวร่ำลือไป ตัวเองไปบวชอยู่ในป่า แล้วมันปฏิบัติมา ๑๖ ปีก็ยังไม่ได้อะไรเลย

พอข่าวร่ำลือไปก็ว่าตระกูลนี้ลูกไปบวช พ่อแม่ก็โดนคนใช้โดนโกงหมด ด้วยความระลึกได้ ก็จะกลับไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ ไปถึงทางสองแพร่ง ว่าเราจะไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ก่อน หรือจะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน ถ้าไปเยี่ยมพ่อเยี่ยมแม่ก็สึก ก็ไปดูแลพ่อแม่ แต่ตัดสินใจว่าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อน

พอไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกมาทำไม

บวชอยู่แล้ว ปฏิบัติแล้วจะเป็นอย่างนี้ มันยังกังวล มันยังมีความทุกข์ความยากมาตลอดเลย แล้วตอนนี้พ่อแม่ก็โดนคนใช้ โดนคนใช้ในบ้านโกงจนหมดเนื้อหมดตัว ตอนนี้เป็นขอทาน ทำอย่างไรล่ะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกถึงเราบวชเป็นพระ เราก็เลี้ยงพ่อแม่ได้

ก็เลยไปเอาพ่อแม่มาอยู่ แล้วบิณฑบาตเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ พอบิณฑบาตเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่นะ พระก็โจษจันกัน บอกพระอะไรบิณฑบาตมาเลี้ยงโยม อย่างนี้มันผิดศีล ผิดวินัย ไปฟ้องพระพุทธเจ้า

พระพุทธเจ้าบอกว่า มันเป็นกุศล มันเป็นความดี พระมีสิทธิ์เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ได้ เห็นไหม ประชาชนเขาเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่เขาได้ ประชาชนเขาหาอยู่หากินเพื่อเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ พระในบ้านๆ นี่เราเป็นพระ เราเป็นพระ เราเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ไม่ได้หรือ ประชาชนยังเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ได้ ทำไมพระจะเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ไม่ได้ ก็สร้างที่อยู่ให้พ่อให้แม่ แล้วก็บิณฑบาตเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ดูแลพ่อแม่

ฉะนั้น พระเลี้ยงพ่อแม่ได้ แต่มันก็ดูความสมควรนะ อย่างเช่นเรา เราก็มีพ่อมีแม่ แล้วทำไมเราไม่ไปเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่เราล่ะ

อ้าว! ก็เรามีพี่ชายตั้งหลายคน น้องชายเราก็มี น้องสาวเราก็มี ถ้าเขาเลี้ยงกันได้ เราต้องไปเลี้ยงด้วยไหม

อย่างนี้แสดงว่าเราใช้ไม่ได้เลย โอ้โฮ! พี่ๆ น้องๆ มาเลี้ยงดูพ่อแม่มัน มันบวชพระมา มันเห็นแก่ตัว มันไม่เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่มัน

แล้วพ่อแม่มันคิดถึงพระไหม

คิดถึง

ถ้าคิดถึงพระ เป็นญาติกับศาสนาไหม

พี่น้องเราเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่หมดเลย เขาดูแลนะ เพราะแม่เป็นอัมพฤกษ์ เขาเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวหมด เขาต้องได้บุญเยอะเลย แล้วเรามีแต่ปากดีอยู่นี่ ไม่เคยไปดูแลท่านเลย แสดงว่าพวกนั้นได้บุญมากกว่าเรา

แต่เรามาบวชพระ แล้วเราประพฤติปฏิบัติของเรา แล้วมันเห็นสมควร เพราะมันมีคนดูแลอยู่ ดูแลกันด้วยปัจจัย ๔ ด้วยธาตุขันธ์ มันก็เรื่องหนึ่ง แต่เรื่องของบุญมันเป็นเรื่องของหัวใจ

เรามาบวชเป็นพระ พี่น้องเราเป็นสิบเลี้ยงดูพ่อแม่อยู่ ดูแลพ่อแม่หมด แต่เราอยู่นี่ แล้วความคิดของพ่อแม่คิดถึงใคร ถ้าคิดถึงคนคนนั้นมันก็เป็นบุญใช่ไหม คิดถึงพระ คิดถึงสิ่งที่ดีงาม เป็นญาติกับศาสนาไหม เป็นญาติกับศาสนา สิ่งนี้เป็นญาติกับศาสนา

คนเราที่เป็นญาติกับศาสนา ญาติกับศาสนาทำบุญได้บุญไหม ถ้าทำบุญได้บุญแล้ว แล้วเวลาเราจะตายไป เราอยากได้บุญหรือเราอยากอยู่กับลูก ก็อยากได้บุญ ถ้าอยากได้บุญมันก็เป็นบุญ

ถ้าจิตใจเรามีหลัก เราจะไม่หวั่นไหวไปกับโลกธรรม ๘ ไม่หวั่นไหวไปกับแรงเสียดสี ไม่หวั่นไหวไปกับกระแสโลก กระแสโลกว่าเห็นแก่ตัว ทำอะไรก็เห็นแก่ตัว ไม่คิดถึงคนอื่นเลย คนอื่นเขาต้องดูแล

คนอื่นมันเรื่องพื้นๆ มันเรื่องที่ว่าหมูหมากาไก่ ใครๆ ก็ดูแลกันได้ หมูหมากาไก่ หว่านเมล็ดข้าวไป ไก่มันก็อิ่มหนำสำราญแล้ว ข้าวเปลือกน่ะ ข้าวเปลือกหว่านไป ไก่มันก็กินข้าวเปลือก มันก็มีความสุขแล้ว มันเป็นเรื่องของหมูหมากาไก่

แต่นี่มันเรื่องของคุณธรรม เรื่องของศีลเรื่องของธรรมมันสูงส่ง หัวใจใครมันจะถึงล่ะ ถ้าหัวใจมันจะถึง มันก็เป็นไป บุญมันไม่มีใครมองเห็นนะ มันเห็นแต่สิ่งที่เลี้ยงดูกันมาไง

นี่พูดถึง โอ้โฮ! นี่เขาถามเรื่องเขา ทำไมพูดเรื่องเราล่ะ เขาถามเรื่องเขา

เรื่องนี้มันเป็นเรื่องโลกแตก มันมีปัญหาอยู่แล้ว ฉะนั้น เวลาที่ว่าเวลาเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ได้ เราเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ ถ้าแบบว่ามีความจำเป็น เลี้ยงได้ แต่ถ้ามันมีพี่มีน้องมีอะไร พระก็ไม่ควรทำ พระก็ไม่ควรทำ เพราะว่าเราเคารพพ่อแม่ไหม เคารพ แล้วเราเคารพธรรมวินัยไหม เราเคารพศีล สมาธิ ปัญญาไหม

เราเคารพวิธีการ ธรรมและวินัยเป็นทางอันเอก มัคโค เป็นทางที่ว่าทุกคนจะเข้าไปสู่สัจธรรม แล้วทุกคนจะรักษาทางนี้ให้มันสะดวก ให้ทางนี้สบาย ให้ทางนี้มันเป็นสัจจะ ให้ทางนี้มีความมั่นคง เราเป็นศากยบุตรพุทธชิโนรส มันก็ประโยชน์ใช่ไหม เราเองเราก็เห็นประโยชน์กับตัวของเรา เราทำเพื่อประโยชน์ของเรา

เขาบอกไอ้นั่นก็ทำได้ ไอ้นี่ก็ทำได้ ทางนี้มันจะด่างพร้อยไปเรื่อยๆ มันจะออกนอกทางไปเรื่อยๆ แต่ถ้าทางนี้เป็นไฮเวย์ ทางนี้เป็นทางมัคโค ทางนี้เป็นทางอันเอกที่มันสะดวกรวดเร็ว มันต้องเป็นไป ทุกคนรักษาทางนี้ไว้ ใครมีรถสูตรหนึ่ง ไปเลย จะกี่ร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง ไปเลย เรามีเกวียน เราก็ไปเส้นทางนี้ เราไม่มีเกวียน เราก็เดินไปก็ได้ มันอยู่ที่วาสนาของคน แต่เส้นทางนี้มันต้องรักษากันไว้

พระถ้ามีสติปัญญา ถ้ามีความจำเป็น ได้ เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ได้เลย แต่ถ้ามันมีคนที่ดูแล มันไม่มีความจำเป็น เพราะเราเป็นพระนะ คนที่เป็นพระมันต้องมีสติปัญญา อะไรที่มันละเอียดกว่า บุญกุศลที่ละเอียดกว่า ที่มั่นคงกว่า ที่ยิ่งใหญ่กว่า แต่คนตาถั่วมันมองไม่เห็นหรอก สายตาสั้นมันไม่รู้หรอก มันไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าเราทำได้ขนาดนี้มันจะเป็นประโยชน์กับเรา

ฉะนั้น สิ่งที่ในพระไตรปิฎกมีเรื่องนี้เยอะมาก ถ้ามีเยอะมากนะ เราเองก็คิด แต่ถ้าเป็นปัญหาให้เราตอบ เราก็บอกว่า ตอนนี้พ่อแม่มีอายุมาก แล้วท่านก็ช่วยตัวเองไม่ได้ นี่ก็เป็นปัญหาหนึ่ง แล้วปัญหาหนึ่ง เรื่องพ่อแม่แก่เฒ่าก็ต้องมีคนอุปัฏฐากดูแลอยู่แล้ว ถ้ามีญาติพี่น้องก็เรื่องหนึ่ง ถ้าไม่มีญาติพี่น้องนะ เราก็ดูแลของเรา

แล้วธรรมดาอย่างเราคนไทยเชื้อสายจีน อย่างเรานี่คนไทยเชื้อสายจีน พอเชื้อสายจีน คนจีนเขาถือตรงนั้นกันมาก ถือเรื่องพ่อแม่ ลูกคนโตต้องประเพณีวัฒนธรรม คนไทยเชื้อสายจีนเราต้องรับผิดชอบเรื่องพ่อเรื่องแม่

แต่ถ้ามีสติมีปัญญา ถ้ามีโอกาส มันเป็นไปได้ มันมีโอกาสนะ เพราะในสมัยปัจจุบันนี้พระหลายองค์ก็มีปัญหานี้เหมือนกัน แต่ก็อยู่ที่ความเข้มแข็งว่าเป็นไปได้จริงหรือเป็นไปไม่ได้จริง

นี่พูดถึงว่ามันเป็นปัญหาโลกแตกไง ฉะนั้น สิ่งที่ว่า แล้วยิ่งมาเรื่องทรัพย์สิน เรื่องสิ่งที่เป็นไป เรื่องที่ว่าธนาคารเขาจะยึดเมื่อไหร่ ไอ้นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง มันมีสองเรื่องซ้อนกันนะ หนึ่ง เรื่องของทรัพย์สินที่เราจะดูแลกัน เรื่องของพ่อแม่ที่แก่เฒ่าชราขึ้นมา แล้วเราก็มีความคิดอยากบวชตลอดชีวิตเลย อยากบวชตลอดชีวิต แต่ก็มาเป็นห่วงเป็นบางครั้ง

ถ้าเป็นห่วงเป็นบางครั้ง ตอนนี้ถ้าบวชไปแล้วมันไม่ห่วงเป็นบางครั้งหรอก มันห่วงตลอดเลย กิเลสนี้มันร้าย ตอนนี้ยังไม่บวชนะ มันก็ห่วงเป็นบางครั้ง แต่พอไปบวชแล้วนะ ทีนี้มันห่วงตลอดเลย เพราะอะไร เพราะกิเลสตอนนี้มันพลิกแล้ว มันเอาแง่มุมนี้มากระตุ้นเราแล้ว ทีนี้มันจะไปหน้า มันก็ไปไม่ได้ มันจะถอยหลัง มันก็ถอยหลังไม่ได้ คือว่าในปัจจุบันนี้เราไม่แก้ไขให้ดีก่อนไง

สุคโตไง สุคโต ถ้าสุคโต ปัจจุบันสุคโต ทำทุกอย่างให้สำเร็จเรียบร้อย ทำทุกอย่างให้สำเร็จเรียบร้อยแล้วเราค่อยแสวงหาเรื่องประโยชน์ส่วนตนของเรา ฉะนั้น ตอนนี้เราทำตรงนี้ ทำให้จบ

เพราะเราบอกว่าถ้าบวชไปแล้วมันก็คิดอย่างนี้ บวชไปแล้วนะ ไอ้เรื่องที่เป็นความกังวลมันจะไปกระตุ้นเรามากเลย

ถ้าเราเป็นจริงนะ เราบวชไปนานแล้ว ถ้าเราบวชไปนานแล้วก็จบแล้ว เราบวชไปแล้ว พ่อแม่ก็อย่างว่า ถ้าเป็นความจริงนะ สร้างกระต๊อบเลย เอาพ่อแม่มาอยู่ ถ้ามันเป็นไปได้จริงนะ แล้วดูที่ไหนว่าที่ไหนเขาจะติเขาจะเตียน

มันเป็นข้อเท็จจริง ทุกคนเห็นแล้วนะ เขาไม่ใช่ติเตียนหรอก เขาสาธุ ไม่ใช่สาธุเปล่านะ เขาจะช่วยเหลือเจือจาน ช่วยดูแลด้วย ให้มันเป็นความจริงเถอะ ให้เป็นความจริง ความจริงที่เป็นอย่างนี้ให้เป็นความจริงตลอดไป

ที่ทางโลกเขาอยากช่วยเหลือเจือจานมาก แต่เขากลัวว่ามันไม่เป็นความจริงน่ะสิ ตอนนี้นะ ที่ว่าไอ้แชร์ลูกโซ่ๆ กันอยู่ ที่มันเชื่อถือกันไม่ได้ก็เพราะไอ้ความไม่จริงนี่สิ

แต่ถ้าเป็นความจริง มันเป็นความจริง มีคนอยากจะมาคอยช่วยเลยล่ะ พระองค์หนึ่งอยากจะบวช ถ้าเป็นอะไร เขาจะช่วยเลย แล้วให้ไปบวช บวชดีๆ นะ บวชแล้วปฏิบัติให้ดีๆ นะ

เพราะว่าบวชไปแล้วนะ เส้นทางของชีวิตเรามันต้องเอาจริงเอาจังนะ เพราะพระที่จะบวชเข้าไปแล้วมันจะมีเหตุผลของมัน

นี่พูดถึงว่า เขาว่าเขาอยากบวชตลอดชีวิต แล้วถ้าบวชตลอดชีวิตแล้วนะ ทีนี้สิ่งที่ว่า บางครั้งก็ไปอยู่วัดบ้าง พ่อแม่ก็พูดว่ารู้จักพระในบ้านไหม

เราก็รู้จักอยู่ พระในบ้าน พระในบ้านก็คือสิ่งที่ว่าเราไปวัดแล้วเราต้องมีสามัญสำนึกอยู่แล้ว แล้วมีสามัญสำนึกอยู่แล้ว เรามีความกตัญญูกตเวทีอยู่แล้ว แต่ที่มันมีปัญหากัน หนึ่ง โลกที่มีปัญหากันอยู่ด้วยวัย

ดูสิ วัยรุ่น วัยทำงาน วัยผู้เฒ่า เวลาคุยนี่เถียงกัน เถียงกันด้วยมุมมองของวัย เถียงกันโดยวัย โดยวัยมันจะมีปัญหามาก แล้วตอนนี้พอโดยวัย ทีนี้โดยพื้นฐาน เห็นพระในบ้านไหม เพราะธรรมดาเขาก็ต้องบอกว่าพระในบ้าน เพราะว่าเป็นผู้ให้ชีวิตนี้มา ตอนนี้ถ้าทุกข์ยาก เขาก็ต้องการคนเห็นใจ ทีนี้เห็นใจ เราก็ทำได้ใช่ไหม

ฉะนั้น ตอนนี้คิดหางานทำก่อนดีไหม เพื่อช่วยเหลือภาระทางบ้าน

อันนี้มันเป็นหน้าที่ที่เห็นชัดๆ มันเป็นสิ่งที่เห็นชัดๆ แล้วถ้าเรามองข้าม มันเหมือนกับเราบกพร่อง ถ้าเราไม่บกพร่อง เราก็ทำงานของเราซะ ทำงานแล้วนะ มันมีอยู่ในสมัยพุทธกาลเหมือนกัน มันมีนางทาสีคนหนึ่งเป็นคนทุกข์คนเข็ญใจ เขาเป็นคนทำอาชีพหาบน้ำมั้ง แล้ววันนั้นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไปเทศนาว่าการ เวลาฉันเสร็จแล้วก็รอเทศน์ รอนางทาสีคนนี้

นางทาสีคนนี้ก็รีบหาบน้ำไปเติมตุ่มของเจ้านายที่บ้านให้ทันก่อน ก็ละล้าละลัง ก็อยากจะฟังเทศน์เหมือนกัน แต่เราเป็นคนทุกข์คนเข็ญใจ เรามีหน้าที่ ก็ต้องหาบน้ำ

หาบน้ำไปมั้ง อยู่ในธรรมบท ก็หาบน้ำไป พระพุทธเจ้าก็รอ ก็พูดปฏิสันถารรอ รอให้นางทาสีเสร็จงาน นางทาสีเสร็จงานก็รีบขวนขวายมาร่วมฟังธรรมกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอนางทาสีมา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เริ่มเทศน์ จะโปรดทาสีนั้นน่ะ โปรดนางทาสีนั้น เทศนาว่าการไป นางทาสีเป็นพระโสดาบันเลย

เวลาใจของเขา เขาก็รีบเร่งของเขา เขาก็อยากขวนขวายของเขา เขาอยากขวนขวายของเขา แต่เขาเป็นคนทุกข์คนเข็ญใจ เขามีอาชีพของเขา เราต้องรับผิดชอบหน้าที่ของเขา เขาก็ทำหน้าที่ของเขา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารอ รอนะ จนเขาหาบน้ำจนเสร็จ หาบน้ำเสร็จก็รีบขวนขวายมาฟังธรรม มาฟังธรรมขึ้นมา เทศนาว่าการจนเขาได้ผลของเขา

อันนี้เป็นภาระหน้าที่ในปัจจุบัน ทุกคนมองอย่างนั้น แต่ถ้ามันเด็ดขาด มันเด็ดขาดนะ เพราะมันมีเยอะมาก เวลาเรามีหน้าที่ จิตใจมันทุกข์มันยากมันก็หาที่พึ่ง อยากจะออกประพฤติออกปฏิบัติ แต่เวลาไปแล้ว ถ้าหน้าที่เราทำไว้ไม่ดี เหมือนเราตอนนี้ เหมือนทางการแพทย์เขาบอกว่าเด็ก ๓ ขวบ เด็กอายุน้อย เราต้องดูแลให้ดีเลย เพราะมันจะมีความปลูกฝัง หนึ่ง ถ้าเราดูแล โตขึ้น สมองจะดี ทุกอย่างจะดี นิสัยจะดีมาก แต่ถ้าเราขาดตกบกพร่องตรงนี้ พอดีขึ้นมาแล้ว ที่มันประชดสังคม มันทำร้ายสังคม เพราะว่ามันมีจุดบกพร่องมาตั้งแต่เด็ก

นี่ก็เหมือนกัน เริ่มต้นเราจะไปบวช เหมือนกับเด็กๆ ทั้งนั้นน่ะ หน้าที่ของเรา สิ่งที่เราเข้าไป ถ้ามันดีมันก็คือดี ถ้ามันดี มันเป็นไปได้ มันจะเป็นประโยชน์

ฉะนั้นบอกว่าเพื่อนๆ กัลยาณมิตรเสียดายแทน

อ้าว! เสียดายแทน มึงไม่มาแทนกูล่ะ เสียดายแทน มึงก็มาแทนกูสิ กูไปบวช มึงมาดูแลพ่อแม่กูที

กัลยาณมิตรก็คือกัลยาณมิตร กัลยาณมิตรก็เสียดายแทน ใช่ คำว่าเสียดายก็คือเสียดาย คำว่าเสียดายคนเรานะ มิตรแท้ มิตรเทียม คนเทียมมิตร มิตรแท้ แม้แต่เวลาเราผิดพลาดพลั้งไป มิตรแท้จะปกป้องคุ้มครองดูแล เบื้องหลังเราถ้ามีใครนินทา มีใครเขาใส่ร้าย ถ้ามิตรแท้มันจะป้องกันเราทันทีเลย มิตรแท้มันจะแก้ไขเราเลย มิตรแท้

ถ้ามิตรแท้นะ สิ่งที่ว่าเสียดายๆ เราจะบอกว่ามิตรแท้ก็คือมิตรแท้ แต่ว่ากัลยาณมิตรที่ดีก็กัลยาณมิตรที่ดี ก็ดี ก็ไม่ว่ากัน แต่ในเมื่อความจริง ความจริงคำพูดทุกคนมันพูดได้ทั้งนั้นน่ะ แต่ความจริงเขายังไม่อยู่ในเหตุการณ์อย่างนั้น

เราเห็นข่าวบ่อยเลย ตอนนี้ดาราจะมาบวช จะบวชตลอดชีวิต คนนู้นก็จะบวชตลอดชีวิต โอ้โฮ! สื่อมันร่ำลือนะ มันตีไปใหญ่เลย โอ๋ย! ไอ้นี่จะบวชตลอดชีวิต...บวชไป ๒ วันแม่งสึกแล้ว

คนนู้นบวชมาแล้ว โอ้โฮ! สุดยอด จะบวชตลอดชีวิต จะไปถึงที่สุด...ไป ๒ วันสึกแล้ว เยอะมาก บวชไป ๒ ปี ๓ ปี เอ็งทนแรงกิเลสเอ็งไม่ไหวหรอก ที่บอกว่า บวชพระสบาย บวชพระสบาย

บวชพระ ถ้าตั้งใจมาทำธุรกิจ มาหาเงินน่ะสบาย แต่ไม่สบายหรอก ตอนนี้ตำรวจกำลังจะจับ แต่ถ้าบวชจริงๆ มันไม่สบายหรอก โธ่! กิเลสเรา กิเลสเรามันร้ายนัก

ฉะนั้น กัลยาณมิตร เราจะบอกว่า กัลยาณมิตรเขาพูดด้วยปาก ปากมันพูดอะไรปลิ้นไปปลิ้นมา ลิ้นพลิกไปพลิกมาอยู่นี่ มันพูดได้ทั้งนั้นน่ะ แต่ความรับผิดชอบของเรา ความรับผิดชอบของเรา ความจริงของเรา

คำพูดใครมันก็พูดได้ กัลยาณมิตร ในนวโกวาท มิตรแท้ มิตรเทียม คนเทียมมิตร มิตรเทียมมันปอกลอก มันเอาแต่ประโยชน์ มิตรแท้เขาจะดูแล เขาจะช่วยเหลือเจือจานเรา

ฉะนั้นว่า กัลยาณมิตรเพราะอะไร เพราะบอกว่ากัลยาณมิตร เพราะเราฟังอย่างนี้ไง เราเองเราก็อยากจะบวชอยู่แล้ว เราเองเรามีความทุกข์ความยากอยู่แล้ว แล้วเขามาพูดสิ่งที่เราชอบใจ โอ้โฮ! ไอ้นี่เพื่อนแท้ เพื่อนแท้นะ ไอ้คนพูดอย่างนี้เพื่อนแท้ แล้วคนที่เขาอยากช่วยเหลือเราจริงล่ะ แล้วพ่อแม่เพื่อนจริงหรือเปล่า ญาติพี่น้องเพื่อนจริงหรือเปล่า

ทีนี้กรณีอย่างนี้มันต้องมีสติมีปัญญา เราต้องคัดเลือกเองไง เราต้องคัดต้องเลือก เวลาเราพูด เขาปลอบประโลมใจ เวลาทุกข์ เขาปลอบประโลมใจ คารม คารมอารมณ์ เขาปลอบประโลมใจ เราก็ อืม! คนนี้ดี คนนี้ดี แล้วเขาช่วยเราจริงหรือเปล่า เขาดูแลเราจริงไหม ถ้าเขาดูแลเราจริง มันไม่ต้องใช้คารมหรอก เขาช่วยเลย ถ้าคนเขาช่วยเลยนะ คนเขาช่วยเลยนะ โอ้โฮ! มันซึ้งน้ำใจนะ

คนทุกข์คนยาก เวลาทุกคนอยากช่วยกัน เจอรถเสีย เจอรถอะไรก็อยากช่วย เราอยากช่วยเขานะ เวลารถเราเสียหาย เราไปเจออุบัติเหตุ แล้วรอคนช่วยเหลือนะ แต่ตอนนี้ไปดูไอ้แก๊งตบทรัพย์สิ มันเอารถมาเฉี่ยวมึงเลย แล้วมันจะให้ช่วย ควักสตางค์ช่วยมัน

เพราะเราต้องการช่วยเหลือ แต่มันก็มีคนมาแสวงหาผลประโยชน์ มันก็มีการเอาสิ่งที่น้ำใจของคนไปเป็นประโยชน์ ไปทำลายเสียหาย ไอ้เราเลยไว้ใจอะไรใครไม่ได้เลย เราจะไว้ใจใครล่ะ เราไว้ใจคนอื่นไม่ได้ ถ้าไว้ใจคนอื่นไม่ได้ เราค่อยๆ ว่ากัน เราว่ากัน

นี่พูดถึงกัลยาณมิตร เราจะบอกเลย บอกว่า ฟังไว้ แล้วเราใช้พิจารณาไตร่ตรองเอง จิตใจของเรา เราทุกข์ยากอย่างนี้แล้วใช่ไหม แล้วยิ่งไปฟังอย่างนี้ด้วย จิตใจเรายิ่งไปใหญ่เลยนะ คนก็ว่าอย่างนั้น บวชดี คนนั้นก็ว่าดีไปหมดเลย ใครก็ว่านู่นดี ใครก็ว่านี่ดี สุดท้ายไอ้คนที่ว่าดีๆ มันกลับบ้านมันไปหมด

ใครๆ ก็ว่าดี ใครๆ ก็ว่าดี มันอยู่บ้านมัน เรานั่งทุกข์อยู่คนเดียว

ไอ้คนก็ว่าอย่างนี้ถูก ไอ้คนก็ว่าอย่างนี้ดี ทุกคนบอกว่าดีหมดเลย แล้วผลของมันล่ะ เขากลับไปบ้านเขา เขาไปมีความสุขอยู่ที่บ้านเขา ไอ้เราทุกข์อยู่คนเดียว

ฉะนั้น เราคิดอย่างนี้อยู่แล้ว แล้วมันมีสิ่งนี้มากระตุ้นใช่ไหม เราก็รับฟังไว้

ฉะนั้นบอกว่า คำนี้มันใช้ได้เราเกิดมาชาตินี้มีโอกาสดีๆ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา โอกาสหาได้น้อยนัก อยากสร้างบุญบารมี ไม่อยากเป็นโมฆบุรุษ

อยากสร้างบุญบารมี รักษาพ่อแม่ก็สร้างบารมี ดูแลพ่อแม่ก็เป็นการสร้างบารมี ปลดหนี้ปลดสินให้พ่อแม่ก็เป็นการสร้างบารมี ฉะนั้น เราสร้างบารมีแล้วนะ แล้วถ้าเราไปบวชเมื่อแก่ ถ้ามันสุกงอมแล้ว ถ้าบวชเมื่อแก่ ไปบวชเมื่อแก่ บวชแล้วเราได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ โอ้โฮ! ยิ่งสาธุเลย ถ้าเราสร้างบารมี เวลาไปบวช

แต่ตอนนี้เรามองเกมแล้ว เวลาไปบวชแล้วนะ มันละล้าละลัง ถ้าไปบวชแล้วนะ จริงๆ นะ ไปบวชแล้วกลืนข้าวแทบไม่ลงคอเลยล่ะ จะกินข้าวสักคำหนึ่งก็คิดถึงว่าแม่จะกินอะไร จะกลืนข้าวสักคำหนึ่งก็ว่าพ่อได้กินข้าวหรือยัง จะกินข้าวสักคำหนึ่งนะ แล้วเวลาจะนอนนะ เวลาจะนอน พ่อแม่นอนที่ไหน ถ้าบ้านเขายึดไปแล้ว พ่อแม่ไปนอนที่ไหน ตอนนี้พ่อแม่ไปนอนอยู่ที่ศาลาข้างถนนหรือ ไปบวชเป็นพระแล้วมันยิ่งเป็นความทุกข์

เราเอาเหตุการณ์เฉพาะหน้านี้ให้จบ ถ้าเหตุการณ์เฉพาะหน้าจบ จบแล้วเราค่อยจะไปบวชไปอะไรนั่นอีกเรื่องหนึ่ง

แต่ถ้าในบ้าน ถ้าในบ้านมีพี่น้องหลายคน แล้วพี่น้องคนไหนก็แล้วแต่ เขาแยกบ้านแยกเรือนไปแล้ว เขาสร้างฐานะเขาเข้มแข็งแล้ว ทำไมเขาไม่ดูพ่อแม่บ้าง ถ้าในบ้านเรามีพี่น้องหลายคน แล้วพี่น้องเราเขาก็มีครอบครัวไปแล้ว แล้วให้เราแบกภาระอยู่คนเดียว แล้วคนอื่นเขาไม่ใช่ลูกหรือ พี่ๆ น้องๆ เราไม่ใช่ลูกพ่อแม่หรือ ก็ลูกพ่อแม่เหมือนกัน แล้วทำไมพ่อแม่ของเราต้องให้เรารับผิดชอบอยู่คนเดียวล่ะ ทำไมพ่อแม่เราไม่ให้พี่น้องทุกคนมาช่วยรับผิดชอบบ้างล่ะ นี่ถ้ามันเป็นเหตุผลที่ตรงข้าม แต่ถ้าพูดอย่างนี้เราพูดด้วยเป็นสิทธิ์ไง แต่ไอ้พวกพี่น้องที่มันมีครอบครัวไปแล้วก็บอกว่า อ้าว! ก็กูมีครอบครัวแล้ว มึงยังไม่มีก็หน้าที่ของมึงไง

ถ้าอย่างนั้นก็รับไว้ ถ้าอย่างนั้นก็รับไว้ อ้าว! ก็เรายังไม่มีครอบครัวนี่ เขามีไปหมดแล้ว เขาแยกบ้านแยกเรือนไปหมดแล้ว เรายังไม่ได้แยก เราอยู่กับพ่อแม่ เราก็ต้องรับผิดชอบสิ มันมองได้หลายมุมไง มันมองได้ทั้งนั้นน่ะ

การเป็นโมฆบุรุษ การเป็นโมฆบุรุษคือจิตใจเขาทำสิ่งเสียหาย ทั้งบวชเป็นพระแล้วก็ยังทำทุศีล ถ้าเป็นฆราวาสก็ไม่รับผิดชอบสิ่งใดเลย นี่โมฆบุรุษ

ถ้าบุรุษที่มีคุณภาพไง ถึงอยู่ทางโลก เขาก็เป็นคนดีทางโลก เขามาบวชพระ เขาก็มีคุณภาพทางพระ นั่นคือไม่เป็นคนโมฆะ คนโมฆะไม่ใช่มันไม่บวชพระแล้วเป็นโมฆะ ไม่บวชพระ ไม่บวชพระอยู่ทางโลก แต่ทำคุณงามความดี เขาก็เป็นสุภาพบุรุษ เขาก็เป็นสุภาพชน เขาจะเป็นโมฆะที่ไหน เขาก็ไม่ใช่โมฆะ

คำว่าโมฆะคือคนทำผิดไง ทำผิดต่อหน้าที่ไง หน้าที่ของตัวเอง แล้วไม่ทำตามนั้น นั่นโมฆบุรุษ แล้วได้หน้าที่นั้น ยังทำความเสียหายต่อหน้าที่นั้น ทำให้เกิดเป็นโทษเป็นภัยต่อหน้าที่ของตัวเอง นั้นถึงเป็นโมฆบุรุษ โมฆบุรุษเขาต้องทำผิด

นี่เราไม่ได้ทำผิด เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ทำสิ่งที่สูงขึ้นไป ไม่ได้ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ไง คือว่าภิกษุทางกว้างขวาง ภิกษุ ดูสิ พระฉันแล้วไปหมดแล้ว พระนะ พระภิกษุ ภิกษุบิณฑบาตเป็นวัตร บิณฑบาตแล้วฉันเพื่อดำรงชีวิต แล้วประพฤติปฏิบัติ ภิกษุทางกว้างขวาง ๒๔ ชั่วโมง

พระวัดเราภาวนา ๒๔ ชั่วโมง ฉันเสร็จแล้วไปได้เลย มีพระอยู่หลายสิบองค์ ถ้าไอ้หงบมันโกหก เดี๋ยวพระพวกนั้นจะบอกว่า ต่อหน้าโยมโกหกเขาเรื่อยเลย

๒๔ ชั่วโมงทางกว้างขวาง แต่หน้าที่ของโลก เราต้องทำหน้าที่การงาน จบหน้าที่การงานแล้ว เราทำวัตรสวดมนต์แล้วนั่งภาวนา ทางคับแคบ คับแคบที่เวลา คับแคบที่เวลา คับแคบที่โอกาส

ภิกษุกว้างขวางที่โอกาส ๒๔ ชั่วโมง ไปเจอกัลยาณมิตร ไปเจอครูบาอาจารย์ที่ดี ท่านจะชักนำ ท่านจะเปิดโอกาสให้ภาวนาได้ ๒๔ ชั่วโมง หนทางที่กว้างขวาง แต่กิเลสมันบอกว่าเวลามากเกินไป เหงา ภาวนาไม่ได้

เขาเปิดทางให้มันทำนะ มันบอกว่าเหงา มันไม่มีเพื่อน ดูกิเลสมันสิ

ฉะนั้น เราไม่มีโอกาสนี้เท่านั้นเอง เราไม่มีโอกาสที่ได้สถานะของภิกษุที่มีโอกาส มีทางกว้างขวาง มีโอกาสที่ได้เก็บเกี่ยว ได้ประพฤติปฏิบัติ แต่ถ้าเราเป็นทางฆราวาส เราต้องมีความดูแลรับผิดชอบ แต่เราก็ปฏิบัติ มันไม่ใช่โมฆบุรุษ

ฉะนั้น คำว่าโมฆบุรุษปั๊บ เราจะสะเทือนใจเราเองไง ถ้าเป็นสุภาพชนนะ ถ้าเป็นกัลยาณชน มันมีแต่คิดแง่บวกไง แล้วพอบอกตัวเองผิด มันจะเสียใจ เราเป็นคนดีคนหนึ่ง แล้วบอกว่าถ้าเราไม่ได้บวช เราจะเป็นโมฆบุรุษ เราเลยกลายเป็นคนชั่วไปเลย เราเป็นคน เราไม่ได้บวชแล้วกลายเป็นคนชั่วไปเลย

แต่ถ้าเราไม่ได้บวช แต่เราทำคุณงามความดี มันก็ไม่ใช่โมฆบุรุษ เพียงแต่เรายังไม่มีโอกาสได้เป็นสมณะที่มีโอกาสที่หนทางที่กว้างขวาง หนทางที่ได้ค้นคว้า หนทางที่ได้ปฏิบัติทางตรง แต่ถ้าเราทำหน้าที่ของเราให้จบ แล้วถ้ามีโอกาสแล้วเราถึงจะไปทำหน้าที่ของเราโดยตรง ถ้าเราทำได้นะ

แต่ถ้าในบ้าน เราจะพูดอย่างนี้ตลอด ถ้ามีพี่มีน้อง มีคนที่รับผิดชอบได้อะไรได้ พ่อแม่เขาก็หวังพึ่งคนอื่นเหมือนกัน บางทีพ่อแม่เขาก็บอกว่า ไม่เห็นพระในบ้านหรือ ถ้าเห็นพระในบ้านก็ต้องมีครอบครัวสิ มีครอบครัวแล้วจะได้มัดมันไว้ไง แล้วให้มันอยู่ที่นี่ มันจะได้ไม่ต้องไป มันเป็นอุบายของพ่อแม่ก็ได้

พ่อแม่เขาอาจจะมีพี่มีน้องดูแลอยู่แล้ว แต่เขาอยากจะมัดไอ้คนนี้ไว้ใช่ไหมเออ! เฮ้ย! เอ็งจะต้องมีครอบครัวก่อน เอ็งจะได้เป็นฝั่งเป็นฝา พ่อแม่จะสบายใจมัดมันไว้ก่อน จับมันมัดไว้ พอมัดเสร็จแล้วมันจะได้ไปไหนไม่ได้ เพราะความผูกพันของพ่อแม่ก็คิดแบบนั้น

เราจะบอกว่า ความรักที่สะอาดบริสุทธิ์ ความรักที่ไม่มีโทษคือความรักของพ่อแม่ แต่พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก แต่พ่อแม่ก็มีกิเลสไง

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นศาสดา เป็นพระอรหันต์ เป็นผู้ที่มองโลก โลกนอกและโลกในทะลุปรุโปร่ง เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพาน พระอานนท์คร่ำครวญนะ เพราะพระอานนท์เป็นพระโสดาบัน พวกเรายังไม่เป็นอะไรกันเลยนะ พระอานนท์เป็นพระโสดาบันนะ พระโสดาบัน แสดงว่าต้องมีภูมิธรรมในใจ ฉะนั้น มีภูมิธรรมในใจ ท่านเอาตัวรอดได้ ท่านยังคร่ำครวญ ท่านยังเสียใจนะเรายังมีกิเลสเหลืออยู่ ยังต้องการคนชี้นำอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะปรินิพพานอยู่ในคืนนี้คร่ำครวญ ร้องไห้ เสียอกเสียใจนะ แล้วคร่ำครวญนะ

พวกมัลลกษัตริย์ เวลามาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นลูกศิษย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะนิพพานในคืนนี้ ดวงตาของโลกจะดับลงในคืนนี้

กษัตริย์สมัยพุทธกาลนะ เขามีสิ่งใดเขาจะส่งคนไปปรึกษาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อชาตศัตรูจะตีกษัตริย์ลิจฉวี ตีไม่ได้ เพราะเขามีสามัคคีธรรม ไปถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าจะเข้าไปตีเขา จะตีเขาได้ไหม

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถามพระอานนท์ว่าที่เราบอกเขาไว้ ครุกรรมที่ว่าให้หมั่นประชุมกัน ให้หมั่นทำ เขายังรักษาอยู่หรือเปล่า ถ้าเขายังรักษาอยู่ ตีอย่างไรก็ไม่แตก

นี่ไง ทุกคนมีปัญหา มีความทุกข์ มีสิ่งใด จะไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วคืนนี้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตายแล้ว มัลลกษัตริย์คร่ำครวญ ดวงตาของโลกมันจะดับลงอยู่แล้ว พระอานนท์ร้องไห้

นี่พูดถึงศาสดา จิตใจที่ไม่มีกิเลสมันสูงส่งอยู่แล้ว

แต่พ่อแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก แต่มีกิเลส มีกิเลส แต่ก็ต้องผูกพันไว้ รักไว้

เราพูดอย่างนี้ให้คัดเลือกให้คัดแยก สิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดเป็นประโยชน์กับเรา สิ่งใดดี เพราะมันเป็นปัญหาโลกแตก มันเป็นปัญหาโลกแตก เรื่องในครอบครัว ผลของวัฏฏะ วัฏฏะเป็นอย่างนี้ มันวิบากกรรม วิบากของกรรมของคนแต่ละคน

แล้วเขาพูดกันพระในบ้านๆ

เราก็รู้ว่าพระในบ้าน เราก็เข้าใจ แต่พระในใจนี่สิ ในใจที่มันจะเป็นพระนี่ พระในใจนี่ ใจที่จะเห็นพุทโธนี่ เห็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานนี่

เราเกิดมา เพราะอะไร เพราะพ่อแม่เราก็มีปู่ย่าตายาย พ่อแม่เราก็มีพ่อแม่เหมือนกัน เราก็มีพ่อแม่เหมือนกัน แล้วถ้ามีครอบครัว เราก็มีลูกเหมือนกัน เราจะบอกว่ามันเท่ากัน นาฬิกามันเดินไป ๒๔ ชั่วโมงเท่ากัน วัฏฏะ ชีวิตเป็นอย่างนี้ ปู่ย่าตายายก็เกิดมา เกิด แก่ เจ็บ ตาย พ่อแม่เราก็เกิด แก่ เจ็บ ตาย เราก็จะเกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้ามีครอบครัว ลูกก็จะมาเกิด แก่ เจ็บ ตาย เห็นไหม ไม่มีอะไรต่างกันเลย แต่ถ้าหาพระในใจเจอ หาพระในใจเจอ นี่จะแตกต่าง ความแตกต่างอันนี้มันจะเป็นประโยชน์กับเรา

ฉะนั้น ปัญหานี้มันเป็นปัญหาโลกแตก ปัญหาที่ว่า ไอ้ลูกจะบวช พ่อแม่จะไม่ให้ ไอ้พ่อแม่อยากจะให้ลูกไปบวช ลูกมันก็ไม่ยอมไป ไอ้ลูกคนไหนมันเก๊นะ พ่อแม่ก็ยันให้มันไปบวช มันก็ไม่ไป ไอ้ลูกที่มันจะไปบวช พ่อแม่มันก็ไม่ให้ พ่อแม่ก็ไม่ให้ลูกมันไปบวช ไอ้ลูกจะไปบวช พ่อแม่ก็ไม่ให้ ไอ้ลูกไม่อยากไป พ่อแม่ก็พยายามไสมันไป มันก็ไม่ไป มันเป็นปัญหาโลกแตก

วิบากกรรม วิบากกรรมของคน กรรมเก่า กรรมใหม่ กรรมใหม่คือกรรมปัจจุบัน กรรมปัจจุบันเราทำอย่างไร ทำประโยชน์กับเรา

ถ้ากรรมปัจจุบันใช้สติปัญญาแยกแยะ แล้วหาประโยชน์ ปัจจุบันนี้ถ้ามีเหตุจำเป็น เราทำหน้าที่ปัจจุบัน หน้าที่เฉพาะหน้านี้ให้สมบูรณ์ แล้วไม่เสียใจทีหลัง แล้วถ้ามันเสร็จสมบูรณ์แล้ว ถ้าเรามีวิบากกรรมอย่างนี้ จนกว่าเสร็จหน้าที่ในเฉพาะหน้านี้สมบูรณ์แล้ว เราจะไปบวชมันก็ไม่สาย

แต่ถ้าพูดถึงหน้าที่ปัจจุบันละล้าละลัง ไปบวชแล้วมันก็ไปคิด ไปวิตกกังวล แล้วกิเลสมันสุดยอด มีอะไรที่เป็นภาระ มันกระทุ้งจนล้มเลยล่ะ ฉะนั้น ถ้าไปบวชมันจะมีปัญหาไหม ฉะนั้น ทำหน้าที่ปัจจุบันให้สมบูรณ์ แล้วจะบวชข้างหน้าไม่เสียหาย

แล้วพอบวชแล้วขอให้ทำให้จริงให้จัง แล้วถ้ามันได้พระในใจแล้ว เราจะสาธุด้วย สาธุว่าสิ่งนั้นมันเป็นประโยชน์กับบุคคลคนนั้น เอวัง